ระหว่างวันที 19 เม.ย.- 1 พ.ค. 2558

ชื่อ ปุณยวีร์ นิธิโอฬารพงศ์ อายุ 36 ปี ทำงาน บริษัทเอกชน สนใจเข้าร่วมโครงการเพราะ ในเวลาว่างก็เป็นคนทำกิจกรรมอาสาใน ประเทศไทยอยู่แล้วจึงอยากออกไปเรียนรู้กิจกรรมอาสาในต่างประเทศและมีความสนใจด้านการปลูกต้นไม้ เกษตรกรรม พอดีทางดาหลาเปิดรับอาสาสมัคร และมีที่น่าสนใจอยู่หลายประเทศ ส่วนที่เลือกมาอันนี้เพราะเป็นค่ายที่เกี่ยวกับการเกษตรและสิ่งแวดล้อม เวลาก็พอเหมาะ ที่จะลางานมาได้ เลยสมัคร และได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมโครงการ

การเตรียมตัวก่อนมา เราพอรู้แค่ว่าให้เตรียมถุงนอน เตรียมถุงมือ เตรียมรองเท้าที่ดีเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จุดนัดพบที่สนามบินและเวลาอะไรแค่นั้น ก็ตื่นเต้นว่าจะได้ทำอะไรบ้าง พอมาเริ่มงานก็ได้ปฏิบัติจริงตามที่ตั้งใจไว้คือ เตรียมดินปลูกต้นไม้ทำสวน ถางหญ้า จุดที่ทำเป็นพื้นที่ว่างสี่เหลี่ยมเอามาทำเป็นส่วนที่ให้ผู้คนสามารถมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ให้เด็ก ๆ มีที่วิ่งเล่นที่ปลอดภัย มีการทำกระโจม แบบแอฟริกา มีการปลูกต้นไม้ดอกไม้ ให้ผู้คนได้ชื่นชม เราต้องทำให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ วันแรกขุดดิน เมื่อยตัวมาก วันที่สอง ที่สาม จะเริ่มคุ้นชิน และปรับตัว มีการสลับงานหนักเบา เค้าเป็นห่วงสุขภาพของเรามาก ถ้าป่วยก็ให้หยุดได้ แต่เราจะไม่ฝืนตัวเอง ถ้าเราเหนื่อยก็นั่งพักได้ การทำงานจะให้เกียรติและอิสระ แต่เราก็ต้องพยายามทำเต็มที่ ไม่อู้งานนะคะ อยากให้งานออกเพื่อชุมชนด้วยค่ะ ที่ค่ายที่เราอยู่ เค้ามีคอมพิวเตอร์และ Wi-Fi ฟรี ให้เราใช้ติดต่อทางบ้านได้ค่ะ เวลาทำงานเสร็จก็มาเล่นกัน เรื่องอาหารการกิน จะผลัดกันรับผิดชอบ เช้า กลางวัน เย็น ทีมละ 2 คน เค้าจะให้เงินไปซื้อวัตถุดิบ และให้คิดเมนูอาหาร บอกกับผู้นำค่าย โดยมากจะเป็นอาหารของชาตินั้นๆ ค่ะ เราก็จะได้ทานอาหารที่เราไม่รู้จักคุ้นเคย หรือไม่อร่อยเลยสำหรับเรา เราก็ต้องปรับตัวค่ะ ล้างจานเอง ช่วยกันล้างห้องน้ำ ทำความสะอาดห้องครัว ห้องนอน ผลัดกันทำเวรค่ะ ไปเรื่อยๆ แล้วสองสัปดาห์ก็จะผ่านไป วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ไม่ต้องทำงาน เราก็ไปเที่ยวกัน น้ำตก ภูเขา เราก็ต้องออกค่าใช่จ่ายตรงนี้เอง เช่น ค่าเรือเฟอรี่ ค่าขึ้นกระเช้า แต่ค่าอาหาร เราเตรียมไปจากครัวกลางของเราค่ะ ไปกับผู้นำค่ายที่เป็นคนออสเตรีย แต่มาเรียนที่สวิสค่ะ คืนสุดท้าย มีการเลี้ยงขอบคุณกัน เป็นบาบีคิว อาหารจัดเต็ม มีไวน์ ฉลองคืนสุดท้ายอย่างเต็มที่ พวกเราถ่ายรูปหมู่กับสวนที่เราทำเป็นที่ระลึก พวกเราทั้ง 12 คน มีไทย 1 เกาหลี 2 สเปน 1 อังกฤษ 1 รัสเซีย 1 เซอร์เบีย 1 จอร์แดน 1 สวิส 2 ฟินแลนด์ 1 และซีเรีย 1 คน สมาชิกในกลุ่มรักกันมากและยังมีกรุ๊ปไลน์ไว้คุยเล่นกัน เวลาต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแล้ว

สรุปคือ เรามีความสุข เพราะเราได้ทำในสิ่งที่เราสนใจ เวลาเราทำมันด้วยความรัก เราจะปรับตัวกับมันได้ แม้มันจะยากลำบากแค่ไหน เพราะเราอยากเห็นงานที่เราทำสำเร็จออกมาเพื่อชุมชน งานอาสานั้น ในไทยหรือต่างประเทศไม่ต่างกันค่ะ จิตวิญญาณในการช่วยเหลือเหมือนกัน แต่ที่ต่างประเทศเราจะได้ใช้ภาษา และเรียนรู้วัฒนธรรม เปิดโลกของเราให้กว้างไกลขึ้นค่ะ

กี่คำอธิบายก็ไม่เท่าตาเห็น

‘เป็นงานเกษตร ทำไรทำนา’ งานหนัก ช่วงเวลาทำกิจกรรมยาว (5:30 น. – 18:00 น.) วันแรกต้องเดินเท้าเข้าไป 4 กม. จึงจะถึงพื้นที่ที่ทำกิจกรรม แต่วิวสวย หมู่บ้านนี้เคยเป็นพื้นที่ร้างถูกทอดทิ้งมา 30 ปี คนที่นี่เขาอาบน้ำกันวันเว้นวัน ในการเตรียมตัว เค้าแนะนำว่าต้องเอาไฟฉายไปด้วย เพราะข้างนอกมืดมาก ไม่มีไฟ (สงสัยส้วมอยู่ข้างนอก) ช่วงเวลานี้ของปีอากาศเริ่มร้อนแล้ว แมลงชุม อย่าลืมเอาสเปรย์ฉีดกันยุงไป ในการเดินทางไปเมืองนี้ ห้ามพลาดรถเที่ยวนี้ ขบวนนี้เด็ดขาด รถมีวันละเที่ยวเท่านั้น หากพลาด ทุกอย่างจะยุ่งยากไปหมด ที่สำคัญกรุณาเตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะเราจะต้องเดินข้ามเขาเข้าไปที่ฟาร์ม ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. บางช่วงชันมาก ให้เอาของไปเท่าที่จำเป็น

นี่คือข้อมูลที่ค่อย ๆ ได้รับก่อนถึงวันเดินทาง พอใกล้ถึงวันเดินทางจริง จึงเริ่มคิดหนัก เราหาเรื่องใส่ตัวรึเปล่านะ อยู่ดีไม่ว่าดี

แต่เมื่อตัดสินใจว่าจะไปก็ต้องไปให้ได้ จากนั้นก็เตรียมการทุกอย่าง ลองซ้อมแบกเป้เดินไปมาได้ 3-4 กม. น่าจะไหวนะ เป้อย่างดีช่วยผ่อนแรงได้เยอะ เอาของใช้เท่าที่จำเป็น เสื้อผ้า 2-3 ชุดพอ ขนม อาหารแห้งงดหมด ของใช้ส่วนตัวแบ่งใส่ขวดขนาดจิ๋ว หาซื้อสเปรย์ฉีดกันยุงแบบไม่ใช้สารเคมี ฯลฯ

แม้ว่าก่อนไปจะได้รับข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายต่างประเทศที่อื่น ๆ จากน้อง ๆ ที่มีประสบการณ์มาก่อน แต่พอไปถึงสถานที่จริง ที่นี่กลับไม่เหมือนค่ายอื่น ๆ ที่น้อง ๆ เล่ามา ลักษณะกิจกรรมของที่นี่คือ การไปช่วยทำงานที่เป็นงานประจำ ไปเพื่อช่วยผ่อนแรงให้กับทีมงานของ Host ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 คน มีหลากหลายอายุ บางคนเป็นคนเมืองที่ต้องการชีวิตเรียบง่าย บางคนแก่ชรา เจ็บป่วย บางคนก็มีความบกพร่องทางสมอง แต่ทุกคนก็ทำงานร่วมกันอย่างหนัก แข่งกับเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดในช่วงฤดูเพาะปลูก และดูจะเอื้ออาทรกันดี

Maki Farm เป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่สมาชิกช่วยกันทำเพื่อเลี้ยงตนเอง มีผลผลิตเหลือไว้ขายเพียงเล็กน้อย อยู่ในหุบเขาทางภาคตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร การเดินทางเข้าไปในฟาร์มจะใช้การเดินเท้าเลาะภูเขาสูง 2 ลูก ฝีมือใหม่ ๆ อย่างพวกเราจะใช้เวลากว่าชั่วโมงครึ่งจึงจะถึง   ร่างกายต้องแข็งแรงพอที่จะแบกสัมภาระขึ้นไปเอง แต่ไม่ต้องตกใจไป ถ้าเราไม่ไหวจริง ๆ ทุกคนก็พร้อมจะหยุดพักเพื่อให้เราสามารถเดินต่อไปพร้อมกันได้ (เขาไม่ปล่อยให้เดินเดี่ยวเพราะมีทั้งหมีและหมาป่ามาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ)

เมื่อไปถึงฟาร์ม ก็จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนไม่ได้อีก เพราะบนนั้นไม่มีใครหรืออะไรเลย นอกจากที่พัก ไร่นา แปลงผัก แพะ 3 ตัว ไก่ 1 เล้า และเพื่อนร่วมงานรวม 20-24 ชีวิต    ทุกวันเราจะกินข้าวพร้อมกัน ทำงานร่วมกัน พวกเราจะเป็นผู้ช่วยในแต่ละงานซึ่งมีผู้นำหลักเป็น Host งานที่ทำในแต่ละช่วงเวลาก็แตกต่างกันออกไป แต่ก็จะคล้าย ๆ กันทุกวัน

ตารางงานคร่าว ๆ คือ

5:45-7:00 งานช่วงเช้าก่อนอาหารเช้า ให้อาหารและรีดนมแพะ ให้อาหารไก่ เขี่ยขี้ไก่ ถางหญ้า เก็บผัก ทำความสะอาดที่พัก เป็นลูกมือในครัวเตรียมอาหารสำหรับ 20 คน

8:45-12:00 (มีพัก 30 นาที) งาน outdoor คืองานลงแปลงนา กำจัดแมลงและวัชพืช ใช้มือล้วน ๆ ช่วยกันลงแขกทีละแปลง ถ้าฝนตกหนัก ๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นงาน indoor เช่น เลาะเมล็ดข้าวโพด คัดแยกถั่วแดงญี่ปุ่นสำหรับบรรจุถุงขาย หั่นฟาง ตัดใบชา ผ่าฟืน ฯลฯ

13:45-18:00 (มีพัก 30 นาที) มักเป็นงานในแปลงผัก มีพวกถั่ว แครอท ข้าวโพด หอมใหญ่ เป็นงานเพาะกล้า เพาะเมล็ด ถางหญ้า พรวนดิน กำจัดวัชพืชซึ่งเยอะมากเพราะไม่ใช้สารเคมีเลย ซ่อมแซมเครื่องมือ บางครั้งจะมีงานเร่งด่วนแทรกเข้ามา เช่น ซ่อมสะพานชำรุด ขุดลอกถังเก็บน้ำ ขนย้ายเครื่องจักรเครื่องมือ

19:00 ประชุมสรุปงาน และแบ่งงานสำหรับวันต่อไป และหยุดงานในวันอาทิตย์หลังอาหารเช้า

งานครัว โดยเฉลี่ยพวกเราชาวค่าย 9 คน (ต่างชาติ 5 ญี่ปุ่น 4 ) จะได้เข้าครัวเป็นลูกมือเกือบทุกวัน เพราะในแต่ละมื้อจะต้องมีผู้ช่วย ล้างหั่นผัก ก่อฟืนหุงข้าว ต้มน้ำ จัดถ้วยชาม แบ่งอาหาร และเก็บล้างจานชาม อย่างน้อย 2 คน และใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะเรากินอาหารหนักกันทุกมื้อเนื่องจากต้องใช้แรงงานอย่างมากแต่ละวัน อาหารหลัก ๆ จะเป็นข้าว กับซุปประจำวันและผัดผัก มีพิเศษบ้างก็คือ ข้าวแกงกระหรี่ ราเมน โซบะ ขนมปัง ระหว่างวันจะมีขนมกับน้ำชาในช่วงเวลาพัก 2 ครั้ง

การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างชาวค่ายไม่ค่อยจะมี เนื่องจากในแต่ละวันเลิกงาน กินข้าวเสร็จจะต้องคุยสรุปงานและแบ่งงานกัน กว่าจะเสร็จก็ทุ่มกว่า และด้วยวัยของพวกเราแตกต่างกันค่อยข้างมาก (16-61 ปี) จึงไม่ค่อยได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน ต่างคนต่างจับกลุ่มคุยกันเองตามความถนัด แต่เมื่อถึงเวลางานพวกเราก็ทำงานร่วมกันได้อย่างสนุกสนาน และลืมความเหนื่อยยากไปเลย เพราะบรรยากาศของที่นี่น่าทำงานมาก อากาศสดชื่น Host ทำงานหนักกว่าเราเยอะ เป็นต้นแบบที่ดี การกินอยู่อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญตลอดระยะเวลา 12 วัน เราได้อยู่ในที่ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้ บางวันฟ้าเปิดก็จะเห็นยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม ได้กินพืชผักปลอดสารล้วนๆ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ อาบน้ำอุ่นจากพลังงานแสงอาทิตย์ ดื่มน้ำสะอาดจากลำธาร และมีชาเขียวดื่มในทุกมื้ออาหาร ทำงานท่ามกลางหุบเขาเขียวขจี และท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้  แล้วแบบนี้จะไม่เรียกว่าสวรรค์บนดินได้อย่างไร ถ้าอยู่ที่นี่ได้นานอีกหน่อย เผลอ ๆ อาจไม่อยากบ้านก็ได้นะ

ถ้ามีโอกาสจะขอกลับไปอีกครั้งค่ะ

จุดเริ่มต้นของการไปค่ายนี้ เพราะเราชอบไปเป็นอาสาสมัคร เคยไปค่ายอาสาสมัครในไทยมาหลายค่าย ทั้งสอนหนังสือ ทั้งใช้แรงงาน และเราชอบเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศคนเดียวมากๆ เลยอยากลองไปเป็นอาสาสมัครในต่างประเทศดู ก็เข้าไป search ใน google นี่ล่ะ มีหลายเว็บ เว็บภาษาอังกฤษนะจ้ะ สรุปเราเลือก camp จากเว็บนี้ https://www.workcamps.info/icamps/ เพราะมีให้เลือกเยอะ และมี period ที่พอจะเคลียร์งานได้ หวยก็มาออกที่รัสเซีย เพราะยังไม่เคยไปมาก่อน มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และ culture น่าจะต่างจากเรามากๆ ก็เลยสมัครไปค่ายใน Kirov ที่รัสเซีย เป็นค่ายแนว adventure นอนเต้นท์ การสมัครเราส่งใบสมัครเองไม่ได้ ต้องส่งให้ partner ในไทยก็คือ Dalaa มีการสัมภาษณ์กับผู้ประสานงานค่ายผ่าน skype ประมาณชั่วโมงกว่าๆ มีค่าใช้จ่าย 3,000 บาท แล้วเราก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน รถไฟเสร็จสรรพ ก่อนเริ่มค่าย 1 เดือน ค่ายที่สมัครไว้ก็ cancel จ้า งานงอก จ่ายเงินไปหมดแล้ว ทางนู้นเค้าก็เลยเสนอค่ายใหม่ใน region เดิม เป็นค่าย summer camp ที่ใหญ่ที่สุดของเด็กที่นี่ มีใน wikipedia ด้วยนะ แต่ volunteer คนอื่นยกเลิก ก็เลยมีแค่เรากับเพื่อนจากเม็กซิโกอีกคนเท่านั้น และไม่มีรายละเอียดค่ายอะไรให้เลยซักอย่าง ผู้ประสานงานก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในองค์กรประเทศเค้า ค่ายนี้จัดโดยรัฐบาล ก็เลยตัดสินใจเดินหน้าต่อ

พอไปถึงสนามบิน Moscow ก็รีบไปต่อ night train ไป Kirov ทันที Jane ผู้ประสานงานก็มารับที่สถานีรถไฟ Kirov และพาเราไปพักที่บ้านนาง เราได้เรียนวิธีทำแพนเค้กแบบรัสเซียเรียกว่า Blin ด้วย และเจนก็พาทัวร์เมือง Kirov ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่มีต้นไม้ มีสวนสาธารณะเยอะมากๆ ตอนเย็นเราก็ไปเข้าค่ายกัน สิ่งแรกที่ได้เรียนในค่ายก็คือ การปูที่นอน ทำไมผ้าคลุมเตียงมันยาวไม่พอพับเข้าไปใต้เตียงนะ เจนบอกเค้าใช้อย่างนี้ อ่อหรอออ ส่วนผ้าห่มก็จะเป็นแบบต้องสอดไส้เข้าไปเหมือนตามโรงแรม ดีนะที่เรียนมาก่อน วันหลังๆที่นอนในรถไฟต้องปูเองนะจ๊ะ

Day 1: วันแห่งการ observe วันนี้เป็นวันแรกในค่าย เรายังไม่มีหน้าที่อะไร ก็เลยไปสำรวจค่าย observe ว่าเด็กๆทำอะไรกันบ้าง ในค่ายเด็กๆจะแบ่งกลุ่มกันตามอายุ จะมีมิชชั่นให้เด็กๆทำร่วมกันเพื่อเก็บแต้มตลอด 3 วีค เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน 8 โมง น้องๆต้องเก็บที่นอน ทำความสะอาดบ้าน จะมีคนไปให้คะแนนความสะอาดบ้านทุกวัน บ้านที่เราอยู่ได้คะแนนเต็ม 5 ทุกวันเลย จากนั้นไปออกกำลังกาย และ Breakfast ซึ่งเราก็จะได้กินทีหลัง เพราะโต๊ะไม่พอ จากนั้นจะเป็น free time เด็กๆก็มักจะไปว่ายน้ำ เล่นบาส เตะบอล ซ้อมเต้น จน lunch เค้าจะกินตอนบ่ายโมง ละก็จะเป็น silent hour คือนอนกลางวัน บ่าย 2 ถึง 4 โมง เราก็ได้นอนด้วย อิอิ จากนั้นก็ snack time

และจะมี free time เล็กน้อยก่อน 5 โมง เราก็เลยไปขอแจมเล่นนินจาเกมส์กับเด็กๆ มันเป็นเกมส์ล้อมวงกลมแล้วเราต้องแบฝ่ามือออกมา และต้องตีฝ่ามือเพื่อนข้างๆให้ได้ในครั้งเดียว เพื่อนก็จะยกมือหนีได้ครั้งเดียวเหมือนกัน ก็สนุกดี จากนั้นจะมีกิจกรรม 5 โมง – 1 ทุ่ม ที่ club วันแรกเป็นการประกวดเต้นของแต่ละกลุ่ม จากนั้น Dinner ตอน 1 ทุ่ม แล้วก็ free time จะมี disco เริ่มตอน 2 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม ทุกวัน

Day 2: วันนี้เป็นวันแรกที่เราได้จัด Thai culture workshop ให้เด็ก เริ่มจากกลุ่มเด็กโต 3 กลุ่ม ใช้เวลากลุ่มละ 1 ชั่วโมง เราก็สอนสวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ โชว์รูปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ งานเทศกาลสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง สอนพับกระทง และรำไทย มีให้ชิมอาหารไทย เด็กมากกว่า 80% เป็นเด็กกำพร้าและไม่รู้จักเมืองไทยมาก่อน จาก 300 กว่าคนมีคนเคยไปเมืองไทยคนเดียว เด็กๆตื่นเต้น สนใจกันมากๆ เวลาถามคำถาม หรือขออาสาสมัครหน้าชั้น เด็กๆแย่งกันตอบ แย่งกันยกมือ ซึ่งต่างจากเด็กไทยมาก จัด workshop สนุกมาก เวลาน้องได้ชิมอาหารไทย ตลกสุดๆ หน้าดำหน้าแดงกันหมด หลังจบคลาสเด็กๆอยากไปเมืองไทยกันหมดเลย ทุกครั้งที่เจอเราเค้าจะยกมือไหว้ สวัสดีตลอด

ตอนเย็นวันนี้มีการประกวด mister คืองานประกวดเด็กผู้ชาย เหมือนนางงามนั่นแหละ มีการแนะนำตัว ประกวดชุด แสดงความสามารถพิเศษ ส่วนใหญ่จะเต้น มีคนนึง beatbox มีน้องคนนึงเคยเรียนมวยไทยมาก่อน โชว์มวยไทยด้วยนะ พี่ปลื้มเลย ที่แปลกหน่อยตรงที่ไม่มีการถามคำถามนางงาม แต่จะให้น้องยืนขาเดียวและบอกคำที่เป็นคำชมให้มากที่สุด

พอตกดึกมี horror game คือ Rally เก็บ RC ตอนกลางคืน คือมี theme แนว horror จะมีคำใบ้มาให้ น้องๆต้องไปหา RC ต่อในสถานที่ต่างๆในค่ายตามคำใบ้ และประกอบเป็นคำ เล่นกันตอน 4 ทุ่มครึ่งยันตี 3 จะมีสตาฟแต่งเป็นผีมาหลอกตามจุดต่างๆ เสียงกรี๊ดดังตลอดทั้งคืน สนุกแบบหลอนๆ

Day 3: วันนี้เป็นการจัด workshop ของเพื่อนเราจากเม็กซิโก เราก็เลยมีหน้าที่เป็นตากล้อง ตอนเย็นมีการแสดง bubble ให้น้องๆ ดีใจได้ดูฟรี เมืองไทยค่าตั๋วแพงนะเนี่ย ระหว่าง free time เราก็ไปแจมเด็กๆเล่นเกมส์โยนลูกบอลน้ำ มันคือถุงพลาสติกธรรมดา ใส่น้ำมัดให้แน่นเป็นลูกบอล ละโยนให้เพื่อนคนข้างๆ ถ้ารับไม่ดีหรือโดนเพื่อนปาแรงๆบอลจะแตก ตัวเราก็จะเปียก

ตกดึกก็มีปาร์ตี้ปิ้งขนมปังรอบกองไฟ น้องๆปิ้งเสร็จแล้วเอามาให้เราเยอะมาก ปลื้มม มีการร้องเพลงรอบกองไฟ ชอบมากคิดถึงเข้าค่ายลูกเสือสมัยเด็กๆ

Day 4: วันนี้ก็ได้จัด workshop อีกครั้ง คราวนี้กลุ่มเด็กเล็ก 5 กลุ่ม กลุ่มละ 30 นาที บางอย่างน้องอาจจะไม่เข้าใจ ก็เลยต้องรวบรัด เน้นโชว์รูป เด็กๆตื่นเต้นมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุน้อยที่สุด ร้องโอ้โห ว้าว ตลอด 30 นาที จบคลาสแล้วน้องๆเข้ามากอดเรากลมเลย ดีใจน้ำตาจะไหล

วันนี้ตอนเย็นมีกิจกรรม คุณทำอะไรดีๆให้คนอื่นบ้างใน camp เด็กบางคนช่วยเก็บจาน เช็ดโต๊ะในโรงอาหาร เด็กบางคนช่วยเพื่อนหวีผม เก็บขยะในค่าย ทำความสะอาดบ้านที่พัก

คืนนี้มีงาน fancy เราก็เพิ่งรู้ ไม่ได้เตรียมชุดมา นี่ก็เลยใส่ผ้าถุงไปเลยจ้ะ เด็กส่วนใหญ่จะแต่งหน้าเป็นผี แล้วก็ไปแดนซ์ในดิสโก้

Day 5: วันนี้ก็เป็นตากล้องอีก 1 วัน ส่วนตอนเย็นมีกิจกรรมอำลา มอบ cer ให้กับ staff ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมหาลัย หรือเพิ่งเรียนจบ high school เตรียมเข้ามหาลัย จะมีการแตะมือกันทุกคน บรรยากาศเศร้ามาก เพราะน้องๆใช้เวลาด้วยกันมา 3 วีค พรุ่งนี้ต้องจากกันแล้ว ร้องไห้กันใหญ่เลย แล้วก็มีการฉายวีดีโอส่งข้อความจาก staff ให้เด็กๆ เราก็ได้พูดกับเค้าด้วย พูดยาวไปหน่อย เค้าเลยต้องแยก section ของเราโดยเฉพาะ 55

ตอนดึกๆมีก่อรอบกองไฟกองใหญ่ ทุกคนในค่ายมารวมตัวกัน ตอนแรกก็นึกว่าจะมีแสดงรอบกองไฟแบบบ้านเราหรอ แต่ป่าว น้องคนนึงจับมือเราจูงแล้วเดินไปรอบกองไฟ เราก็งงๆว่าเดินวนทำไมตั้งหลายรอบ ซักพักก็พาไปคล้องตัวเพื่อนอีกคนเป็น 3 คน ยืนไม่ถึง 5 วิ ก็มีเด็กอีก 2 คนมาคล้องคอเราไปอยู่กลุ่มใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้ได้พูดคุยกับเด็กๆหลายๆคน บางทียังไม่ทันได้คุยก็โดนย้ายกลุ่มแล้ว เป็นกิจกรรมที่น่ารักดี เล่นไป 1 ชั่วโมงเหมือนได้คุยกับคนเกือบทั้งค่าย

พอเที่ยงคืน ก็เป็นช่วงเปิดใจ เราก็ได้ไปจอยกลุ่มเด็กที่อายุมากที่สุด น้องๆในกลุ่มเค้าจะคุยกัน แน่นอนว่าเราฟังเค้าไม่รู้เรื่องหรอก ทุกคนคุยภาษารัสเซีย จะให้เจนแปลทุกประโยคก็ไม่ไหว แต่มีเด็กหลายๆคน ขอบคุณเราด้วย ซึ้งใจมาก เราก็ได้พูดขอบคุณเด็กๆ แอบน้ำตาไหลตามไปด้วย

Day 6: วันแห่งการจากลา วันนี้น้องๆเก็บของเตรียมตัวกลับบ้านกันแต่เช้า เราก็ได้มีโอกาสให้ของขวัญกับน้องๆและสตาฟ เรามีรูปที่ใช้ใน workshop ก็เลยเกิดปิ๊งไอเดีย เขียนขอบคุณ 3 ภาษา ให้เป็นโปสการ์ดของที่ระลึก ดีใจที่ทุกคนชอบ ตอนเราเดินไปขึ้นรถกลับ น้องๆเดินตามมาส่ง จับมือตลอดทางเลย น่ารักมากก

สรุปการมาค่ายครั้งนี้แม้ว่าตอนแรกจะติดขัดหลายๆอย่างจนนึกว่าจะไม่ได้ไปแล้ว พอไปถึงสภาพห้องน้ำก็ช็อค เพราะห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ ไม่มีประตู เรื่องกลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึง ต้องทายาดมก่อนเข้าและกลั้นหายใจทุกครั้ง จนนึกว่าจะไม่รอดแล้ว แต่เด็กๆน่ารักมากให้การต้อนรับเราดีมาก ด้วยความที่เป็นต่างชาติกลุ่มแรกในค่าย และเด็กส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าในต่างจังหวัด เลยมีโอกาสเจอต่างชาติน้อยมาก เราน่าจะเป็นเอเชียคนแรกที่น้องเคยเจอเลยแหละ มาเข้าค่ายนี้รู้สึกเป็นเซเลป น้องๆเรียกชื่อเรา ทักทายทุกครั้งที่เจอ ขอถ่ายรูปด้วยตลอด พอเราไปเล่นเกมส์กับน้อง น้องดีใจมาก จากกลุ่มเล็กๆก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่มาก มาเคาะประตูให้ไปเล่นด้วยทุกวัน พอจะกินข้าว น้องๆก็มาพูด приятного аппетита แปลว่า enjoy your meal ทุกมื้อ ถึงแม้น้องๆจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เวลาเจนไม่อยู่ก็เลย lost in tranlsation แต่น้องๆน่ารักมาก พยายามใช้ google translate คุยกับเรา รู้เรื่องด้วยนะ staff ทุกคนน่ารักมาก โดยเฉพาะ chef พอรู้ว่าเราชอบ spicy food ก็ทำเมนูพิเศษให้เราด้วย ขอไก่เพิ่มได้ด้วย ขอบคุณทุกคนในค่ายทั้งเด็กๆ staff คนขับรถ เพื่อนเจนที่ให้เรานอนที่บ้านฟรี โดยเฉพาะเจน นอกจากเป็นล่าม ยังพาเราไปเที่ยว ไปช้อป และทุกคนไม่ได้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ้งใจในความสมัครใจเพื่อเด็กๆ

Hi my name is Kewalee. I am 18 years old. I was a volunteer of Nice International Workcamp, Hitachiomiya 2018 in Japan during July 26th to August 6th 2018. I just finished high school from GED test (High School of America) last year. After I finished high school, I traveled a lot in Thailand and visit many places to find new experiences through many positions such as a volunteer, workcamp leader, workcamp leader assistant. So this year I found an opportunity to travel abroad to improve myself, to improve my English skills, to be open-minded as a way to learn new cultures and languages, and to learn how to work with other people.
The main activities of this workcamp were preparing the place and making the decoration for nagakura tanabata Festival. These activities taught me a lot by working with other people who have different cultures, languages, and ages. Even if we are different but it is not a problem because every volunteer and local people are very kind, polite and fun. Even some of local people can’t speak In English but they tried to communicate with us, and also taught us how to work and they taught me to speak Japanese too. Everybody here always smiles and laughs. They work hard and are really on time. Working with them improved me a lot to be a person who works hard and be on time. Practicing and performing Wadaiko made a lot of good memories for me. Wadaiko is a Japanese drums performance and we had to perform Wadaiko on the day of the festival too. For this activity we had only 4 times to practice, at first I thought it was really hard but when we were practicing, teachers are very kind and we had a lot of fun together. We have only 4 times to practice but we did it very well on the day of Festival because we were harmonized and always helping each other. When I went to practice this drum, I met a little boy, his name is Kento and he was going to perform the show with us. After we had finished practicing, we would get 15 minutes to take a break. During that time I tried to talk and played with him. At first he was very shy. But after that he would come and play with me every break time and we become close friend. On the last day he gave me a picture that we took together and he wrote a message for me too, this is the best gift for me from Japan.
To be a volunteer of this camp is the best moment in my life. On the first day I arrived Japan, traveling alone was so hard. But when I asked or when I needed help, nobody ignores me. Even if they cannot speak in English, they tried to help me. Japanese people are very kind. Especially, people in this workcamp are very nice and kind. I don’t know how to explain how much I love this workcamp. Everything was very nice. I met many good friends here, we had a lot of good memories that we did together. I was always happy and laugh when I was working with everybody in this workcamp, volunteers, local people, and host. If I have a chance, I would like to go back to Japan again. This is really nice country, and this is a good choice for you to come to be a volunteer here. Finally thank you for this opportunity and everything.

สวัสดีค่ะชื่อเตยนะคะ ตอนนี้อายุ 19 ปี ได้มีโอกาสไปทำอาสาสมัครที่เกาหลีใต้มาช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย ตอนแรกค่อนข้างลังเลและไม่มั่นใจกับการไปทำอาสาสมัครที่ต่างประเทศมาก อาจเป็นเพราะคนไทยไปทำงานแบบนี้น้อยและเคยมีข่าวไม่ดีบ้างแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป

การเตรียมตัวก่อนการเดินทางไม่มีอะไรมากนะคะ อาจจะมีลำบากตรงเรื่องเอกสารเล็กน้อย ก่อนเริ่มค่ายประมาณ 1 เดือนจะมีหัวหน้าค่ายติดต่อเรามาเพื่อขอทราบข้อมูลเราบางอย่าง หัวหน้าค่ายที่ดูแลอาสาสมัครในค่ายนี้น่ารักมากค่ะ เป็นกันเองมากๆและตอบคำถามเราดีมากๆด้วย

พอถึงวันที่ต้องเดินทางจริง เตยเดินทางคนเดียวเป็นการขึ้นเครื่องบินคนเดียวครั้งแรกแต่ก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าอะไรมากค่ะ พอลงเครื่องที่เกาหลีเราก็ต้องนั่งรถบัสจากสนามบินเพื่อไปเจอกับหัวหน้าค่ายที่จุดนัดพบ ซึ่งการเดินทางไปก็ไม่ลำบากค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนรถเลยสะดวกมาก

วันแรกจะเป็นกิจกรรมแนะนำเพื่อนใหม่ 7 คนจาก 6 ประเทศ มีเวียดนาม (2 คน) อินโดนีเซีย รัสเซีย แม็กซิโก ฝรั่งเศสแล้วก็เราจากไทยแลนด์

นอกจากไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆอาสาสมัครจากทั่วโลกแล้วเราก็จะได้ทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนมัธยมปลายที่อยู่ในเมืองนั้นอีก 8 คนด้วยค่ะ ซึ่งน้องๆมัธยมปลายน่ารักมาก เป็นกันเองมากค่ะ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกันบ้างเพราะน้องบางคนพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเท่าไหร่ค่ะ

อาสาสมัครและน้องนักเรียนทุกคนต้องอยู่ด้วยกันที่หอพักของมหาวิทยาลัยใกล้ๆนะคะ หอพักดีมากค่ะ มีแอร์มีห้องน้ำในตัว หนึ่งห้องต่อสองคนค่ะ

ส่วนกิจกรรมในวันถัดๆมาก็จะเกี่ยวกับเรื่องของวัฒนธรรม ได้ไปเยี่ยมชมพระราชวังเก่าที่โซล ชมวิวแม่น้ำฮันยามค่ำคืน ได้ไปเดินเขาเยี่ยมชมพระราชวังที่ในสมัยนั้นกษัตริย์จะมาอาศัยในช่วงที่เกิดสงครามค่ะ ที่นั้นจะเป็นไฮไลท์ของค่ายนี้เลยนะคะ บรรยากาศของป้อมปราการเก่าท่ามกลางป่าสีเขียวมองลงมาสามารถเห็นเมืองทั้งเมืองได้เลยค่ะ แต่เราก็จะไม่ได้แค่ไปเดินเขาชมวิวธรรมดานะคะ เราจะมีแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่มถ่ายทำวีดีโอที่แสดงจุดแข็งและจุดอ่อนของป้อมปราการนี้เพื่อนำไปฉายในวันจบค่ายด้วยค่ะ

ในส่วนของ 5 วันแรกจะทำกิจกรรมกับนักเรียนม.ปลายและอีก 5 วันถัดมาจะทำกิจกรรมกับนักเรียนม.ต้นอีกประมาณ 40 คน กิจกรรมที่ทำร่วมกันจะเป็นเพื่อความบันเทิงมากกว่า เช่น ไปเล่นโบว์ลิ่ง ทำอาหารนานาชาติด้วยกัน ไปเที่ยวสวนสนุก Lotte World ด้วยกัน หรือออกนอกเมืองไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ค่ะ ซึ่งในส่วนของการทำกิจกรรมร่วมกับก็จะติดตรงเรื่องภาษาค่ะ เพราะว่านักเรียนส่วนมากใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็จะมีนักเรียนที่พูดได้ทำหน้าที่เป็นล่ามประจำแต่ละกลุ่มให้ค่ะ นักเรียนม.ต้นที่ทำกิจกรรมด้วยก็น่ารักดีค่ะแต่บางคนก็ซนไปหน่อย

โดยภาพรวมแล้วเรามีความสุขกับการไปทำงานอาสาสมัครในครั้งนี้มากๆเลค่ะ ร้องไห้ตอนแยกกับเพื่อนไปหลายรอบมาก ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันไม่กี่วันแต่ก็สนิทกันมากค่ะ ทั้งเพื่อนอาสาสมัครด้วยกันและนักเรียนที่มาทำกิจกรรมด้วยกัน มันเป็นความสุขที่ไม่วุ่นวาย สุขใจ ได้เจอแต่คนดีๆกิจกรรมสนุกๆไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทุกข์ใจเลยค่ะ เรารักเพื่อนอาสาสมัครทุกคน รักน้องม.ปลายที่ทำกิจกรรมด้วยกัน รักหัวหน้าค่ายทั้งสองคนมากๆเลย ทุกคนสัญญากันถ้ามีโอกาสต้องกลับมาเจอกันอีกครั้งให้ได้นะ

สำหรับเรามันเป็น 10 วันที่มีความหมายมากเลยค่ะ เป็นการก้าวออกจาก comfort zone ที่ดีมากจริงๆ อยากบอกทุกคนที่สนใจมาทำอาสาสมัครในต่างประเทศนะคะว่าประสบการณ์แบบนี้ มิตรภาพดีๆแบบนี้หาได้ไม่ยากค่ะไม่ต้องลงทุนอะไรเยอะแยะมากมาย ขอแค่เรากล้าที่จะพบความเปลี่ยนแปลงในชีวิตและลองออกมาทำอะไรที่เราไม่เคยทำค่ะ สุดท้ายนี้อยากขอบคุณพี่หยองขอบคุณดาหลาขอบคุณหัวหน้าค่ายขอบคุณเพื่อนอาสาสมัครขอบคุณน้องนักเรียนและขอบคุณตัวเอง